มาร์ติน โอเดการ์ด เริ่มเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับทีม แดรมเมน สตรอง ทีมในบ้านเกิดในนอร์เวย์ แต่ด้วยความที่ โอเดการ์ด มีพรสวรรค์ที่สูงเกินวัยและเก่งเกินกว่าเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวอยู่หลายขุม ทำให้ทีมดังในนอร์เวย์อย่าง สตรอมส์ก็อตเซต ซึ่งเป็นทีมเก่าของพ่อตัวเองสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2009 แล้วก้าวไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 13 ปีเท่านั้น
ด้วยความที่นักเตะเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความเก่งกาจตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ โอเดการ์ด เป็นที่โด่งดังอย่างมาก ณ เวลานั้น และถูกจับตามองโดยบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, แมนยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เปแอชเช, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และลิเวอร์พูล
หลังจากย้ายไปที่ เรอัล มาดริด
มาร์ติน โอเดการ์ด ลงสนามให้กับทีม สตรอมส์ก็อตเซต ไปเพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้นด้วยผลงานการลงสนามทั้งหมด 24 นัด 5 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆสำหรับนักเตะที่วัยเพียง 15 ปี แต่สุดท้ายแล้ว ในปี 2015 โอเดการ์ด ตัดสินหอบข้าวของจาก นอร์เวย์ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน สเปน อย่าง เรอัล มาดริด ทีมที่เปี่ยมไปด้วย ซุปเปอร์สตาร์ ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์เส้นทางของดาวเตะรายนี้ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเหมือนที่ใครหลายคนคิด เมื่อ โอเดการ์ด ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งพื้นที่ตัวจริงของ เรอัล มาดริด ในเวลานั้นได้เลย
โดยฤดูกาลแรกของโอเดการ์ดเขาถูกส่งลงสนามในฐานะทีมชุดใหญ่ไปเพียง 1 นัดเท่านั้น โดยการลงสนามเป็นตำสำรองแทนที่ของ คริสเตียโน โรนัลโด ในเกมที่พบกับ เคตาเฟ่ แต่ด้วยความที่ว่าเจ้าตัวมีปัญหาในเรื่องของภาษาและไม่สามารถหาตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่ได้ เขาจึงถูกส่งไปเล่นและซ้อมกับทีมสำรองอย่าง กาสตีญ่า ซึ่งมี ซีเนดีน ซีดาน เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ณ เวลานั้น
จากหนึ่งในนักเตะผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในโลก กลับต้องมาเล่นและฝึกซ้อมกับทีมสำรอง ทำให้ โอเดการ์ด จิตใจแตกสลายในทันที เขาเริ่มทำตัวไม่มีระเบียบวินัย ขาดซ้อมบ้าง มาซ้อมสายบ้าง แถมยังมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมอยู่บ่อยครั้ง ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกปล่อยยืมไปตัวไปให้กับ ฮีเรนวีน ในลีกดัตช์ ในปี 2017/2018
แต่ผลงานก็ไม่สู้ดีนักแถมยังมีอาการเจ็บรบกวนอยู่เป็นระยะ ต่อมาในฤดูกาล 2018/2019 โอเดการ์ด ได้ย้ายมาเล่นทีมที่ใหญ่ขึ้นอย่าง วิเทสส์ อาร์เนม ในลีกดัตช์ ผลงานของเขาได้เปร่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง หลังโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนติดทีมยอดเยี่ยมของลีก
ช่วงชีวิตพลิกผันหลังย้ายไป อาร์เซนอล
ฤดูกาลถัดมา โอเดการ์ด กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง หลังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมกับ เรอัล โซเซียดาด ในฤดูกาล 2019/2020 แถมยังถูกยกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรอีกด้วย เขากลับมายังถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมกับความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมอีกครั้งและหวังยึดตำแหน่งตัวจริงให้กับ เรอัล มาดริด ให้ได้
แต่ความเป็นจริงไม่เป็นดั่งหวังเสมอ โอเดการ์ด แทบจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลย ทำให้เจ้าตัวเลยต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองและขอขึ้นบัญชีย้ายทีมในที่สุด ซึ่งในตอนนั้นเองอาร์เซนอล เพิ่งเสียมิดฟิลด์เพลย์เมกเกอร์ที่มีปัญหาภายในทีมอย่าง เมซุต โอซิล พอดี
ทำให้ทาง มิเกล อาร์เตต้า จึงตัดสินใจยืมตัว โอเดการ์ด มาช่วงตลาดหน้าหนาวในเดือนมกราคม ปี 2020/2021 ซึ่งต้องเรียนตามตรงว่าในช่วงระยะเวลาที่ โอเดการ์ด ถูกยืมตัวมาเล่นให้กับอาร์เซนอลนั้น ผลงานของเจ้าตัวก็ไม่ถึงดีสักเท่าไหร่นัก โดยเจ้าตัวลงสนามให้กับทีมไปทั้งหมด 20 นัดรวมทุกรายการ ยิง 2 ประตู 2 แอสซิสต์ แต่ไม่รู้อะไรดลบันดาลใจให้ กุนชาวสแปนิช ดึงตัวมาร่วมทีมเป็นการถาวร ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ในช่วงตลาดซัมเมอร์ในปีเดียวกันนั่นเอง
การขึ้นมาเป็นกัปตันทีมของ มาร์ติน โอเดการ์ด
พอจบฤดูกาล 2021/2022 อาร์เตต้า ได้เสนอชื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของพลพรรคปืนโต หลังจากที่เสียกัปตันและรองกัปตันไปในฤดูกาลที่ผ่านมาก่อนเกม เอมิเรตส์ คัพ ที่เจอกับ เซบีญ่า พอเข้าสู่ฤดูกาล 2022/2023 อาร์เซนอลทำผลงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้ทีมเด็กหนุ่มของ มิเกล อาร์เตต้า โดยมี กัปตันทีมชาวนอร์เวย์ เป็นผู้บัญชาการในแนวรุก ร่วมกับปีกทั้งสองข้างอย่าง บูกาโย่ ซาก้า และมาติเนลลี่
จนเกือบได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก แต่ก็ดันไปตกม้าตายในช่วงท้ายฤดูกาลอย่างน่าเสียดาย แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอลอาร์เซนอลพอจะอบอุ่นหัวใจก็พอจะมีให้เห็นอยู่บ้างก็คือภาวะการเป็นผู้นำของ โอเดการ์ด ที่แสดงออกมาให้แฟนบอลได้เห็นทั้งในและนอกสนาม เขาคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอในยามที่ทีมอยู่ในฟอร์มไม่ดี นอกจากมีความเป็นผู้นำแล้ว ผลงานในสนามเองก็สุดยอดมากเช่นเดียวกันเพราะเขาได้สถาปนาตัวเองให้เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์หมายเลข 10 ที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่คือเรื่องราวคร่าวๆของ โอเดการ์ด
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน คงต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า มิดฟิลด์ชาวนอร์เวย์ผู้นี้จะโบยบินไปได้ไกลสักแค่ไหนในฐานะกัปตันทีมของเหล่าเดอะกันเนอร์ส และเขาจะสามารถพาอาร์เซนอลไปถึงฝั่งฝันในการเป็นแชมป์ได้หรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งเหล่านี้เอง
บล็อกข่าวรายวัน มาร์ติน โอเดการ์ด ก่อนจะมาเป็นกัปตัน อาร์เซนอล
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง